ไม่ดันแล้วนะจ๊ะ! ลุ้นเข้าไทย เอาใจสายแอดเวนเจอร์ MAZDA CX-50 โผล่ก่อนในอเมริกาเหนือ




CX-50 คือครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ที่กำลังจะเข้ามาขายในแผ่นดินอเมริกา เป็นผลิตภัณฑ์ยานยนต์อเนกประสงค์ของ Mazda ที่มีการปรับรูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน CX-50 จะถูกเปิดตัวในปีนี้บนแผ่นดินอเมริกา ด้วยรูปแบบของยานยนต์อเนกประสงค์ครอสโอเวอร์ที่เน้นกิจกรรมกลางแจ้ง โดยมีให้เลือก2 รุ่น คือ รุ่นเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร กำลัง 187 ไม่มีระบบอัดอากาศ และรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร เทอร์โบ กำลัง 250 แรงม้า ทั้งสองรุ่น ใช้ระบบส่งกำลังเหมือนเดิม เป็นเกียร์รุ่นเก่าที่ใช้งานมานานแล้ว เกียร์อัตโนมัติหกสปีด พ่วงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD ส่วน CX-50 Hybrid ขุมกำลังพลังงานผสมแบบไฮบริด ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา รุ่นไฮบริดจะใช้ระบบส่งกำลัง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์หรือชุดเกียร์ของ Toytota (คาดว่า น่าจะวางเครื่อง 2.5 Hybrid ที่ยกมาจาก Toyota Camry Hybrid และ RAV-4) CX-50 ใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ subcompact CX-30 crossover และ Mazda 3 compact โดยมีการปรับปรุงให้แชสซีแข็งแรงขึ้น สัดส่วนตัวถังของ Mazda CX-50 มีขนาดใหญ่กว่า CX-5 เล็กน้อย และมีองค์ประกอบด้านการใช้งานที่เน้นสมบุกสมบัน การออกแบบความสูงของหลังคาที่สอดรับอย่างลงตัวกับแนวด้านข้างของตัวถัง สื่อให้เห็นถึงครอสโอเวอร์ที่สามารถใช้ขับบนเส้นทางออฟโรด ซึ่งนอกเหนือไปจากกระบะ BT-50 แล้ว Mazda ไม่มีรถยนต์ออฟโรดที่ใช้ลุยได้อย่างจริงจังแม้แต่รุ่นเดียว ด้วยสไตล์ที่ทนทาน CX-50 เพิ่มความแตกต่างจากการออกแบบที่เน้นความประณีตของ Mazda รุ่นอื่น ด้วยเรือนร่างที่เน้นสมบุกสมบัน

CX-50 ทุกรุ่น มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ ทั้งมีและไม่มีเทอร์โบ สำหรับรุ่นเทอร์โบชาร์จที่ทรงพลังกว่า มีกำลัง 250 แรงม้า ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรที่ไม่มีเทอร์โบ จะมีกำลัง 186 แรงม้า ระบบเกียร์เหมือนเดิม ยังคงใช้เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เช่นเดียวกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD แบรนด์ Mazda จัดการกับรูปลักษณ์ของ CX-50 ให้แตกต่างไปจากรถรุ่นพี่อย่าง CX-5 ด้วยงานออกแบบที่มีความเฉียบคม เป็นไปตามประเพณีของ Mazda ในการนำเสนอรถยนต์ออฟโรดที่ขับสนุก ในราคาไม่แพง ส่วน CX-50 รุ่นไฮบริดจะถูกเปิดตัวในภายหลัง ด้วยระบบส่งกำลังที่ยกมาจาก Toyota คาดว่าน่าจะเป็นเครื่องไฮบริดที่ประจำการอยู่ใน RAV4 Hybrid ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.5 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลังรวม 219 แรงม้า เช่นเดียวกับ CX-5 และ CX-30 ครอสโอเวอร์ CX-50 มีพื้นที่สำหรับผู้โดยสารห้าคนในที่นั่งสองแถว ภายใน ออกแบบแดชบอร์ดคอนโซลใหม่ ช่องระบายอากาศที่แผงหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ทำให้ CX-50 มีลักษณะและเอกลักษณ์ของรถลุยมากกว่า CX-30 

Mazda CX-50 เป็นยานยนต์กึ่งออฟโรดต้นแบบของแบรนด์ญี่ปุ่น ใช้จุดยืนในการนำเสนอ ด้วยการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่สำหรับชีวิตกลางแจ้งและการผจญภัย ข่าวร้ายก็คือ CX-50 ผลิตและขายเฉพาะในอเมริกาเหนือเท่านั้น และจะเป็นรถ Mazda คันแรกที่ประกอบในโรงงาน Mazda Toyota Manufacturing โรงงานใหม่ในเมืองฮันต์สวิลล์ รัฐแอละแบมา CX-50 ได้รับการออกแบบให้มีความสะดวกสบายทั้งการขับบนไฮเวย์และทางวิบาก มี Mi-Drive พร้อมโหมด Off-Road จุดเด่นของการออกแบบด้วยแนวคิด Kodo ธีม “The Searcher’s Partner” เป็น Mazda ที่สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม เพื่อความสามารถในด้านออฟโรด

CX-50 ใช้แชสซีแพลตฟอร์มขนาดเล็กของ Mazda CX-30 และ CX-5 SUV ในขณะที่ CX-5 เป็นรถครอสโอเวอร์ขนาดกะทัดรัด CX-50 สร้างความแตกต่างด้วยการปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง ระยะห่างจากพื้นถึงใต้ท้องรถที่สูงกว่า CX-5 ห้องโดยสารกว้างกว่า CX-5 เล็กน้อย นอกจากนี้ หลังคาของ CX-50 ยังมีการเสริมความแข็งแกร่งเพื่อรองรับแรคหลังคา ระบบกันสะเทือนถูกปรับแต่งใหม่ทั้งหมด เพื่อความคงทนและรองรับงานลุยได้ดีกว่า CX-5 กระจังหน้าแบบปีก รูปทรงเพรียวบางดูสปอร์ตและสวยกว่า CX-5 ดูเป็นรถที่เหมาะกับการใช้ชีวิตกลางแจ้งมากกว่า ด้วยเส้นที่คมชัด การใช้พลาสติกกันกระแทกที่โพรงซุ้มล้อ การออกแบบแก้มด้านข้างให้กว้างกว่าเดิม รายละเอียดที่เป็นเอกลักษณ์ของยานยนต์จาก Mazda ปรากฏอยู่ทั่วไป ไฟหน้ากลมและไฟท้ายที่คล้ายกับ CX รุ่นอื่น สีตัวถังแบบใหม่ Zircon Sand ในรูปลักษณ์ที่สมบุกสมบัน สีนี้จะถูกนำไปใช้ในรถ Mazda รุ่นใหม่ที่จะออกขายในอนาคต สไตล์แบบออฟโรด แต่ออกแบบให้หลังคาต่ำพอที่จะอยู่ในระยะเอื้อมถึง เพื่ออำนวยความสะดวกในการวางสิ่งของบนแรคหลังคา สำหรับสิ่งของที่มีความยาวเกินไป ซึ่งไม่สามารถเก็บในห้องโดยสาร เบาะหลังออกแบบให้พับราบ และพนักพิงส่วนล่างจะราบเรียบไปกับพื้นห้องเก็บสัมภาระหลัก ทำให้เกิดพื้นผิวที่ต่อเนื่องกัน สามารถดันหรือเลื่อนสัมภาระต่างๆ ได้อย่างสะดวก

CX-50 ดูแข็งแกร่ง และซ่อนคุณลักษณะการขับแบบดั้งเดิมของ Mazda ไว้ภายใน Dave Coleman ผู้จัดการฝ่ายยานยนต์สำหรับ Mazda North America อธิบายว่า ในการวิจัยของ Mazda แม้แต่ลูกค้าที่ไปตั้งแคมป์ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนถนน “คุณจะขับรถ 500-600 กิโลเมตรบนทางไฮเวย์ 100 กิโลเมตรบนเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยว และขับอีก 10-20 กิโลเมตรบนทางลูกรังหรือทางดินทราย ดังนั้น การปรับปรุงเพียงเล็กน้อยสำหรับขับบนทางวิบากนั้นไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่คือรถยนต์ของ Mazda ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทรงตัวบนท้องถนนมากเป็นพิเศษ” แนวคิดด้านประสิทธิภาพที่สมดุล ทำให้เกิดการพัฒนาโหมดขับเคลื่อนแบบใหม่ ที่รู้จักกันในชื่อ Mazda Intelligent Drive Select หรือ MI-Drive (ออกเสียงว่า “My Drive”) ซึ่งมีเพียงสี่โหมดเท่านั้น เช่น Normal, Sport, Towing และ Off-Road แต่ละโหมด ซอฟต์แวร์ควบคุมจะปรับแต่งการทดกำลังของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ i-Activ การตอบสนองของลิ้นปีกผีเสื้อ รวมถึงการทำงานของระบบควบคุมและรักษาเสถียรภาพ G-Vectoring และระบบเบรก โหมด Sport เหมือนกับ Mazda รุ่นใหม่ทั่วไป มีการตอบสนองของคันเร่งและสั่งการเกียร์ให้คงเกียร์ไว้ได้นานขึ้น แทนที่จะขยับขึ้นในวินาทีที่ผู้ขับปล่อยคันเร่ง โหมดการลากจูง มีการคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงไดนามิกของรถเมื่อมีน้ำหนักพ่วงเข้ามา Mazda เพิ่ม G-Vectoring Control ควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์ ในรูปแบบที่มีความละเอียดอ่อน เพื่อถ่ายโอนน้ำหนักไปยังส่วนหน้าของรถ ซึ่งมีไว้สำหรับการตอบสนองการเลี้ยวที่ดีขึ้น โหมดลากจูงยังโหลดระบบ AWD ล่วงหน้า แต่ยังไม่มีการเปิดเผยสำหรับความสามารถในการลากจูงเทรลเลอร์ของ CX-50 คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ 2,000 กิโลกรัม

G-Vectoring Control ถูกปรับให้มีการทำงานที่เชื่อมโยงกับโหมด Off-Road แตกต่างจากโหมดออฟโรดของรถคู่แข่ง และไม่มีโหมดสำหรับการขับลุยทราย โคลน หิมะ หรือตัวเลือกย่อยอื่นๆ ใน CX-50 ระบบขับเคลื่อนและโหมดต่างๆ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกสบายของผู้ขับ โดยใช้ประโยชน์จากการควบคุมผ่าน G-Vectoring Control เพื่อเพิ่มการตอบสนองต่อการทรงตัว เชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD เพื่อรักษาเสถียรภาพและการยึดเกาะ ป้องกันการลื่นไถล สำหรับการแก้ปัญหาเมื่อขับบนเนินเขาที่มีทางลาดชันสูง CX-50 จะตรวจจับมุมและเพิ่มความเร็วรอบเดินเบาเพื่อ “การเปลี่ยนจากรอบเดินเบาเป็นการใช้แรงบิดที่ราบรื่นยิ่งขึ้น” เพื่อให้ส่งกำลังได้ราบรื่นเมื่อขับขึ้นเนิน หรือข้ามหลุมขนาดใหญ่ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ล้อ CX-50 หมุนถอยหลังเมื่อหยุดนิ่งบนเนินสูงชัน หากล้อข้างใดข้างหนึ่งของ CX-50 ยกลอยขึ้นไปในอากาศ ระบบ ABS จะสั่งเบรกบนล้อที่ปราศจากแรงยึดเกาะหรือกำลังเกิดอาการ “ลื่นไถล” แรงบิดจะถูกส่งไปยังล้อฝั่งตรงข้ามเพื่อรักษาเสถียรภาพและสร้างความสมดุลของการทดกำลัง Mazda ยังยืนยันว่า CX-50 จะมาพร้อมระบบ i-Activ AWD เท่านั้น โดยไม่มีรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าเหมือน CX-5 ทุกคันจะใช้กระปุกเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด (แบบเก่า) ใน CX-50 ระบบ AWD จะส่งแรงบิดเพียงเล็กน้อยไปยังล้อหลัง (หน้า 70% หลัง 30%) 

CX-50 เป็นรถยนต์ Mazda คันแรกที่สร้างขึ้นในโรงงาน Mazda Toyota Manufacturing (MTM) ในเมืองฮันต์สวิลล์ รัฐแอละแบมา จากข้อมูลของ Mazda โรงงานแห่งนี้ใช้แนวคิดและวิศวกรของทั้งสองบริษัท ผลิตรถยนต์ได้ประมาณ 300,000 คันต่อปี โดยแบ่งเท่าๆ กันระหว่าง Toyota และ Mazda โรงงานมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์แห่งนี้ จะมีการจ้างงานใหม่ ประมาณ 4,000 ตำแหน่ง และอีกหลายพันตำแหน่งผ่านซัพพลายเออร์ของ Mazda” เจฟฟ์ กายตัน ประธานและซีอีโอของฝ่ายปฏิบัติการ Mazda North American กล่าว.

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/