เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของรถยนต์เชื้อเพลิงและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า




ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ต้องรู้ว่ายานยนต์ EV ไม่ควรเป็นยานพาหนะเพียงคันเดียวที่มีอยู่ในบ้าน รถยนต์ไฟฟ้าใช้แบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน เมื่อไฟใกล้หมดแบตฯ ทำให้เกิดความกังวลและต้องรีบหาสถานีชาร์จที่ใกล้เคียง หากขับทางไกลแล้วแบตเตอรี่มีไฟเหลือน้อย คุณอาจไปถึงในอีกครึ่งชั่วโมง หรือประมาณนั้นด้วยไฟฟ้าที่เหลืออยู่ แต่การขับไปสถานีชาร์จไฟที่อยู่ไกลแบบคาบลูกคาบดอกกับพลังไฟที่เหลืออยู่นั้นมันสร้างความกังวลว่าไฟจะเหลือไม่พอและอาจดับกลางทางเนื่องจากไฟหมด นั่นเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว

สำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด จะมีชุดแบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์สันดาปภายใน รถปลั๊กอินสามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียวๆ ได้ก็จริง แต่ส่วนใหญ่แบตเตอรี่ของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจะมีขนาดเล็กกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วน ทำให้วิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวไม่ไกลมากนัก (ประมาณ 50-100 กิโลเมตร แล้วแต่ขนาดของแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนไฮบริดของแต่ละบริษัท) ช่วงของการขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวที่สั้นกว่ารถยนต์ EV 100% เมื่อไฟในแบตเตอรี่เหลือน้อยลงจนไม่พอที่จะขับเคลื่อนอีกต่อไป ระบบไฮบริดจะสั่งงานให้เครื่องยนต์เข้ามารับหน้าที่ขับเคลื่อนแทน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำการชาร์จไฟขณะขับเคลื่อน เพื่อช่วยเสริมแรงบิดที่ความเร็วต่ำ-ปานกลาง 

เครื่องยนต์สันดาปภายในมีมานานกว่าศตวรรษ ถือเป็นประสบการณ์การขับขี่ที่เราคุ้นเคย รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงนั้นง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน เติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้เร็วไม่ถึง 5 นาที และมีระยะการขับด้วยน้ำมันที่ทำให้ใช้งานได้จริง เหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกล ข้อดีเหล่านี้ควบคู่ไปกับราคาและรูปแบบของรถที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย การเติมพลังงานที่รวดเร็ว เดินทางระยะไกลได้สะดวก เพราะมีปั๊มเชื้อเพลิงครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ ทำให้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงได้รับความนิยมมานานนับเป็นร้อยปีแล้ว สำหรับเครื่องยนต์รุ่นใหม่ทั้งเบนซินและดีเซลในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เครื่องยนต์รุ่นใหม่ทั้งแบบมีและไม่มีระบบอัดอากาศ ถูกออกแบบให้ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพและทรงพลังอย่างน่าทึ่ง แต่การเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อจุดระเบิดให้เพลาข้อเหวี่ยงถ่ายกำลังแรงบิดลงไปยังเกียร์ หมายถึงการปล่อยมลพิษที่กลายเป็นการทำร้ายสภาพอากาศทั้งทางตรงและทางอ้อม คาร์บอนที่รถยนต์เครื่องสันดาปปล่อยออกมา ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เกิดสภาวะเลวร้ายต่างๆ ตามมาอย่างต่อเนื่อง 

ข้อเสียของยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
แม้เครื่องยนต์รุ่นใหม่ในทุกวันนี้จะถูกออกแบบให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีขึ้น ประหยัดน้ำมันเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการปล่อยมลพิษที่ลดลง แต่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้เชื้อเพลิงได้เดินทางมาจนถึงจุดสุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงแล้ว ผลกระทบด้านลบของมนุษย์ที่มีต่อสภาพภูมิอากาศของโลก จากการใช้รถยนต์สันดาปภายในมานาน มีมากกว่าข้อดีของรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน บริษัทรถยนต์รับรู้ปัญหาใหญ่ดังกล่าว ซึ่งกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพภูมิอากาศโลก เกือบทุกแบรนด์กำลังเร่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการเปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะสายเกินไป การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวเพื่อช่วยกอบกู้โลกให้รอดพ้นจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นและมลพิษที่เพิ่มขึ้น บวกกับแรงจูงใจจากรัฐบาลทั่วโลกเพื่อทำให้การเปลี่ยนผ่านรวดเร็วยิ่งขึ้น มีการลดภาษี และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับคนที่เลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า ด้วยสถานีชาร์จไฟที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า ผลกระทบของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเร็วและง่ายกว่าเดิม แต่การใช้งานที่แตกต่างกันในด้านของการเติมพลังงาน ทำให้คนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องมีการใส่ใจในการคำนวนระยะทางต่อกระแสไฟในแบตฯ ที่เหลือ วางแผนการเดินทางด้วยการตรวจสอบสถานีชาร์จไฟตามต่างจังหวัด ซึ่งจะต้องเดินทางข้ามผ่าน และเตรียมความพร้อมให้ดี หากไฟที่เหลืออยู่ไม่สามารถขับไปจนถึงสถานีชาร์จไฟ 

พลังงานแบตเตอรี่ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ชนิดใหม่ รถยนต์ไฟฟ้ามีมานานพอๆ กับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิง ทุกวันนี้ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ การชาร์จ ระยะการทำงาน และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของยานพาหนะมานานแล้ว ทุกวันนี้ความกังวลเรื่องสภาพภูมิอากาศโลก หรือภาวะโลกร้อน ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การปล่อยมลพิษ มลภาวะในชั้นบรรยากาศ และปัจจัยอื่นๆ กำลังผลักดันให้ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้น จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ระบุว่า ยานยนต์ EV จะเพิ่มจำนวนมากกว่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงภายในปี 2033

การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
การขับรถยนต์ไฟฟ้า ไม่เหมือนการขับยานอวกาศหรือการขับยานของมนุษย์ต่างดาว คุณจะรับรู้ได้ถึงความเงียบ ซึ่งค่อนข้างอันตรายเมื่อวิ่งในตรอกซอกซอยแคบๆ ที่เต็มไปด้วยคนเดินเท้า รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเสียงเครื่องยนต์ แรงบิดที่เพิ่มมากขึ้นจากมอเตอร์ขับเคลื่อน ตอบสนองเร็วและปราศจากอาการรอรอบ ประสบการณ์การขับรถยนต์ EV ส่วนใหญ่ ถูกปรับให้มีความสมดุลคล้ายกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป แต่ออกตัวได้รวดเร็วกว่า และต้องใช้เวลารอเมื่อต้องชาร์จกระแสไฟใส่แบตฯ มอเตอร์ไฟฟ้าสร้างแรงบิดสูงสุดจากการหยุดนิ่งแบบฉับพลันทันที การตอบสนองต่อการเร่งแซง หรือออกตัวจึงมีความฉับไวในด้านกำลังและอัตราเร่งที่เหนือชั้นกว่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน

regenerative braking
มอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า สามารถหมุนได้อย่างอิสระถึงสองทิศทาง เมื่อเร่งความเร็ว มอเตอร์จะหมุนไปในทิศทางขับเคลื่อนเพื่อขับเคลื่อนรถไปข้างหน้า เมื่อยกคันเร่งขึ้น มอเตอร์จะหมุนถอยหลังและสร้างกระแสไฟฟ้ากลับคืนสู่แบตเตอรี่ การทำงานย้อนกลับของมอเตอร์ไฟฟ้า หรือ regenerative braking ยังสร้างแรงเบรก ช่วยชะลอความเร็ว เพียงแค่ยกเท้าออกจากแป้นคันเร่ง ผู้ผลิตรถยนต์บางบริษัท ออกแบบระดับการเบรกแบบรีเจนฯ เพื่อหน่วงความเร็วและทำให้รถวิ่งช้าลง บางรุ่นสามารถปรับการตอบสนองของระบบรีเจนฯได้ถึงสามระดับ จากเบา ปานกลาง ไปจนถึงหน่วงหนักโดยเฉพาะ BMW i3 รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าบางแบบที่ปรับการตอบสนองของรีเจนเบรกได้อย่างหลากหลาย แรงเบรกในรถยนต์ไฟฟ้าแบบ regenerative braking หรือแรงที่เกิดจากการหมุนย้อนกลับของมอเตอร์ ช่วยลดความเร็วและชาร์จไฟกลับเข้าสู่แบตฯ แม้จะไม่มากเท่ากับการชาร์จโดยเสียบสายไฟ แต่ก็พอที่จะได้ไฟไปใช้งานในช่วงสั้นๆ ได้ดีพอสมควร 

ความกังวลในการหาสถานีชาร์จไฟ เมื่อขับรถเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมัน และมีน้ำมันในถังเชื้อเพลิงเหลือน้อย คุณสามารถขับเข้าไปในปั๊มน้ำมันและเติมน้ำมันให้เต็มภายในห้านาที หรือประมาณนั้น แต่ถ้าเป็นรถยนต์ EV ที่กำลังมีประจุไฟในแบตเหลือน้อย และลดลงไปเรื่อยๆ โดยที่คุณเองก็ยังหาสถานีชาร์จไฟไม่ได้ กระบวนการนี้ต้องมีการวางแผนก่อนขับ ทั้งระยะทางต่อการใช้พลังงานไฟฟ้า ระยะเวลาที่จะต้องรอระหว่างการจอดชาร์จไฟ รวมถึงตำแหน่งของสถานีชาร์จบนเส้นทางที่จะต้องขับผ่าน 

ปัจุบัน รถยนต์ไฟฟ้า EV จำนวนมากมีประสิทธิภาพดีขึ้น สามารถขับเดินทางไกลได้หลายร้อยกิโลเมตร รถยนต์ไฟฟ้าราคาเฉียดล้าน หรือไม่ถึงล้าน วิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย แต่การเติมพลังงานนั้นอาจใช้เวลานานพอสมควร อย่างน้อยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่น สามารถกู้คืนพลังงานได้มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่าในเวลาเพียง 20 นาที ด้วยระบบชาร์จเร็ว DC แต่ความเร็วในการชาร์จจะช้าลงอย่างมาก เมื่อแบตเตอรี่ใกล้ถึงความจุ การชาร์จเร็วมักจะได้ไฟมาประมาณ 80% ซึ่งก็มากพอที่จะเดินทางต่อไปได้ด้วยความสบายใจ อย่าลืมว่าความเร็วในการชาร์จไฟของแต่ละสถานีชาร์จนั้นแตกต่างกัน แท่นชาร์จเร็วเริ่มมีให้บริการที่สถานีชาร์จทั่วประเทศ และส่วนใหญ่เริ่มเก็บเงินค่าใช้ไฟเนื่องจากเปิดให้บริการฟรีมานานพอสมควรแล้ว 

การเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้ามีข้อดีก็คือ ความจำเป็นในการบำรุงรักษาเป็นประจำที่ลดน้อยลง ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่มีส่วนประกอบทางกลที่จะทำลายช่วงล่าง ไม่มีระบบไอเสีย และยืดอายุของส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ระบบเบรก หลายคนขับรถยนต์ไฟฟ้าแล้วรู้สึกผ่อนคลายมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเนื่องจากความเงียบ ไม่มีเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลายรุ่นให้ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพที่เหนือกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน แรงบิดและอัตราเร่งอย่างฉับพลันทันที ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีการตอบสนองที่ว่องไว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่

มีข้อเสียบางประการในการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่อาจไม่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารอพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ไม่ใช่บ้านพักอาศัยที่มีพื้นที่สำหรับจอดรถเป็นสัดส่วน เนื่องจากไม่สามารถติดตั้งระบบชาร์จไฟ wall box charger แต่คอนโดฯ และโรงแรมส่วนใหญ่มักจะมีสเตชั่นชาร์จคอยให้บริการ ซึ่งกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้สอดรับกับความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า 

ระยะเวลาในการชาร์จพลังงานไฟฟ้า 
คุณอาจพบว่ารถยนต์ไฟฟ้าใช้เวลาในการชาร์จนานเกินไป แม้ว่าจะมีสถานีชาร์จอยู่ใกล้ๆ ต่างจากเติมน้ำมัน ซึ่งอาจใช้เวลาสองสามนาที ยานพาหนะไฟฟ้าใช้เวลานานกว่ามาก ในการกู้คืนพลังงานไฟฟ้า อาจทำให้การเดินทางบนถนน ไม่สามารถทำได้สำหรับหลายๆ คน เนื่องจากต้องหยุดจอดและชาร์จเป็นเวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง หรือมากกว่านั้น อาจทำให้การเดินทางธรรมดาๆ กลายเป็นการเดินทางที่ยาวนานเกินไป 

รถยนต์ไฟฟ้า EV อยู่ได้นานแค่ไหน?
แบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มนับถอยหลังเมื่อถูกใช้งานครั้งแรก ไปจนถึงการหมดอายุการใช้งาน เช่นเดียวกับส่วนประกอบไฟฟ้าอื่นๆ ของรถ เมื่อเวลาผ่านไป แบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มสูญเสียความสามารถในการเก็บพลังงาน รถยนต์ไฟฟ้าจะมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อสามารถเดินทางตามระยะทางที่โฆษณาเอาไว้ เมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพลง ระยะทางของการขับจะเริ่มหดหายจนไม่สามารถทำระยะได้เท่ากับตอนที่ซื้อใหม่ๆ บริษัทผู้ผลิตจึงออกการรับประกันสำหรับแบตเตอรี่และส่วนประกอบไฟฟ้าในรถยนต์ไฟฟ้า เช่นเดียวกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปในหลายกรณี การรับประกันเหล่านี้จะขยายไปถึง 10 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ซึ่งหมายความว่าแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้าสามารถซ่อมแซม หรือเปลี่ยนใหม่ได้ หากแบตเตอรี่เสียในเวลาของการรับประกัน.

ผู้เขียน : อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/